สลัดน้ำ = วอเตอร์เครส กินสดๆ ก็ได้ ปรุงสุกก็ดี

แต่สำหรับใครที่ยังไม่คุ้นเคยกับ “สลัดน้ำ” หรือ “วอเตอร์เครส” ละก็ วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกัน

ว่ากันว่า “ราชินีผักสำหรับคนรักสุขภาพ” ต้องยกให้ สลัดน้ำ หรือ วอเตอร์เครส เพราะความที่อุดมไปด้วยสารอาหารหลายชนิดในปริมาณที่สูงกว่าผักบางชนิด ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม ธาตุเหล็ก วิตามิเอ วิตามินซี วิตามินอี ทำให้ความนิยทการกินวอเตอร์เครสนับวันจะสูงมากขึ้น เพราะเหมือนกินเพียง 1 ชนิด ได้ประโยชน์นับสิบ

ทั้งนี้วอเตอร์เครสประมาณ 10 ยอดจะให้วิตามินเอถึง 1 ใน 4 ของที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน และวอเตอร์เครสปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 11 แคลอรี่เท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้ววอเตอร์เครสไม่ได้มีเพียงสายพันธุ์สีเขียวที่เราคุ้นเคยหรอกนะคะ ยังมีสายพันธุ์สีแดงที่นิยมนำมากิน เพียงแต่ในบ้านเรานิยมแบบสีเขียวที่หากินได้ง่ายกว่า

ทีนี้มาดูแร่ธาตุและสารอาหารในวอเตอร์เครสกันแบบเจาะลึกกันเลย

• “วอเตอร์เครสมีวิตามินสูง” ได้แก่ วิตามินเอและวิตามินซีที่มีส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโต การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงมีวิตามินเคที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว
• “วอเตอร์เครสมีแร่ธาตุ” ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียมที่ช่วยในการเสริมสร้างกระดูก โพแทสเซียมที่ช่วยปรับระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ ธาตุเหล็กช่วยในการผลิตเม็ดเลือดแดง และแมงกานีสที่ช่วยในการทำงานของสมองและระบบประสาท
• “วอเตอร์เครสมีกากใยอาหาร” ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร และดีต่อระบบขับถ่าย  
• “วอเตอร์เครสมีสารต้านอนุมูลอิสระ” ช่วยต้านกระบวนการเกิดอนุมูลอิสระและการอักเสบในร่างกาย ซึ่งในคุณสมบัติที่ว่านี้ มีงานวิจัยของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์พบว่า วอเตอร์เครสสามารถช่วยต้านมะเร็งและมีคุณสมบัติช่วยล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย รวมถึงยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นพบว่า วอเตอร์เครสมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญอย่างฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ในปริมาณสูง ซึ่งสารเหล่านี้ช่วยยับยั้งกระบวนการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายที่เป็นตัวการทำลายเนื้อเยื่อและก่อให้เกิดการอักเสบ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงในระยะยาวได้ อย่างโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งบางชนิด โรคต้อกระจก และคาดว่าอาจเป็นสาเหตุของริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เพิ่มมากขึ้นตามอายุด้วย

เห็นหรือยังคะว่า วอเตอร์เครสใบเล็กๆ กลับมีประโยชน์มหาศาล สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็น  “ราชินีผักสำหรับคนรักสุขภาพ” จริงๆ

ข้อมูล : https://www.pobpad.com/ และ ศูนย์สารนิเทศทางอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์