“กระเจี๊ยบเขียว” ผักมีขนเปี่ยมประโยชน์ที่คนกินแล้วดี

กระเจี๊ยบที่คุ้นเคยในบ้านเรามีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ กระเจี๊ยบแดงที่นิยมนำมาต้มน้ำดื่มรสชาติเปรี้ยวอมหวาน และกระเจี๊ยบเขียวที่มีรูปร่างเรียวๆ ยาวๆ มีขนอ่อนๆ ปกคลุม ซึ่งส่วนใหญ่นิยมนำมาลวกแล้วกินเป็นเครื่องจิ้มในน้ำพริกต่างๆ แต่ปัจจุบันมีการนำมาทำเป็นกระเจี๊ยบอบแห้งปรุงรสชาติอร่อยๆ จนกลายเป็นอาหารกินเล่นไปเรียบร้อยแล้ว แต่จริงๆ แล้ว กระเจี๊ยบเขียวปรุงได้อีกหลายเมนู  แถมประโยชน์ยังเพียบ ไม่ว่าจะเป็น..

1. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด เนื่องจากในฝักกระเจี๊ยบเขียวมีเส้นใยอยู่มาก จึงช่วยรักษาระดับการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้ใหญ่ให้คงที่ คนที่เป็นเบาหวานและผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักควรกินมากๆ

2. ลดอาการท้องผูกได้ดี เพราะกระเจี๊ยบมีเมือกที่ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัวและยังมีใยอาหารที่ดีต่อการขับถ่าย

3. ช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอล เพราะเส้นใยของกระเจี๊ยบที่ช่วยกำจัดไขมันปริมาณสูงกับน้ำดี จึงมีส่วนช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลได้

4. ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคกระเพาะอาหาร เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบ และลำอักเสบได้ เนื่องจากสารไกลโคไซเลทของกระเจี๊ยบช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ลดความสามารถในการเกาะเยื่อบุผิวกระเพาะอาหารของแบคทีเรียที่ชื่อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโรไล ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร และนำมาสู่มะเร็งกระเพาะอาหาร

5. เส้นใยของกระเจี๊ยบและเมือกในฝักจะช่วยจับสารพิษกับน้ำดีในลำไส้ โดยขับออกมาทางอุจจาระ ทำให้ไม่เหลือสารพิษตกค้างอยู่ในลำไส้

7. ว่าที่คุณแม่ควรกินอย่างยิ่งเพราะกระเจี๊ยบเขียวมีโฟเลตสูง ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อพัฒนาการของลูกน้อย ดังนั้นจึงเหมาะกับหญิงมีครรภ์อย่างมาก

8. กินกระเจี๊ยบคลายเครียดได้ มีผลการวิจัยพบว่าสารสกัดจากเมล็ดกระเจี๊ยบเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต้านการเกิดความเครียด ทำให้จิตใจแจ่มใสยิ่งขึ้น

9. ป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ เนื่องจากกระเจี๊ยบมีวิตามินเคสูง ช่วยให้กระดูกดูดซึมแคลเซียมไปใช้ได้ดี

รู้ถึงประโยชน์ของกระเจี๊ยบกันแล้ว ลองหาซื้อมากินดูนะคะ บอกเลยว่ากินไม่ยาก หากไมอยากกินสดๆ จะนำไปลวกน้ำหรือชุบแป้งทอดเพิ่มความกรอบ ก็กินได้ง่ายขึ้นค่ะ

-------------------------------------------------------------------------------------------------

คุณค่าทางโภชนาการกระเจี๊ยบเขียว (ฝักอ่อน 100 กรัม)
– ความชื้น : 88.90%
– ไขมัน : 0.30 %
– คาร์โบไฮเดรต : 7.60 %
– เส้นใย : 1.00%
– โปรตีน : 2.40%
– โพแทสเซียม : 249.00 มิลลิกรัม
– แคลเซียม : 92.00 มิลลิกรัม
– ฟอสฟอรัส : 51.00 มิลลิกรัม
– วิตามินเอ : 520.00 มิลลิกรัม
– ไทอามีน : 0.17 มิลลิกรัม
– โรโบฟลาวิน : 0.21 มิลลิกรัม
– แอสคอมิคแอซิด : 31.00 มิลลิกรัม

ที่มา : กองโภชนาการ, 2530. ตารางแสดงคุณค่าอาหารไทยในส่วนที่กินได้ 100 กรัม. กระทรวงสาธารณสุข.